ปาเวล วาซิลิเอวิช ชีชากอฟ หรือ
จีชากอฟ (
รัสเซีย: Па́вел Васи́льевич Чича́гов; (8 กรกฎาคม [ตามปฎิทินเก่า 27 มิถุนายน] ค.ศ. 1767 – 20 สิงหาคม ค.ศ. 1849) เป็นผู้บัญชาการทหารและนาวิกโยธินของ
รัสเซียใน
สงครามนโปเลียนเขาเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1767 ใน
เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งเป็นบุตรของนายพลเรือ
วาซีลี ชีชากอฟ กับภรรยาชาวอังกฤษ เมื่ออายุสิบสองปีเขาถูกเกณฑ์เข้าสู่กองกำลังรักษาความมั่นคง ส่วนในปี ค.ศ. 1782 เขาทำหน้าที่ในการศึกที่
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในฐานะนายทหารผู้ช่วยพ่อของเขา เขาทำหน้าที่อย่างยอดเยี่ยมใน
สงครามรัสเซีย-สวีเดนเมื่อปี ค.ศ. 1788–1790 โดยเขาได้บัญชาการกองเรือรบแนวเส้นประจัญบาน รอสติสลาฟ และได้รับบำเหน็จ
เครื่องอิสริยาภรณ์เซนต์จอร์จ ชั้นที่สี่ รวมถึงดาบทองที่มีคำจารึกว่า "สำหรับความกล้าหาญ"หลังสงคราม เขาเข้าเรียนที่
สถาบันราชนาวี ขณะอยู่ที่นั่น เขาได้พบกับเอลิซาเบธ โปรบี ลูกสาวของข้าราชการที่ท่าเรือ
ชาแธม และต่อมาได้หมั้นกับเธอ เมื่อเขากลับไปยังรัสเซียในปี ค.ศ. 1796 เขาได้ขออนุญาตแต่งงาน แต่มีกระแสรับสั่งโดย
จักรพรรดิพอลที่ 1 ว่า "มีเจ้าสาวเพียงพออยู่แล้วในรัสเซีย ไม่จำเป็นต้องมองหาใครในอังกฤษอีก" มีความรุนแรงบางอย่างตามมาและชีชากอฟถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ เขาได้รับพระราชทานอภัยโทษในไม่นาน โดยได้รับพระบรมราชานุญาตให้แต่งงานกับเอลิซาเบธ และได้รับการเลื่อนยศเป็นพลเรือตรี ส่วนในปี ค.ศ. 1802
อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สืบราชบัลลังก์แห่งองค์จักรพรรดิพอล ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนยศชีชากอฟเป็นพลเรือโท และทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของคณะกรรมการปฏิรูปกองทัพเรือ ครั้นในปี ค.ศ. 1807 เขาได้รับการเลื่อนยศเป็นพลเรือเอก และได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงราชนาวีชีชากอฟลาออกและเดินทางไปยุโรปในปี ค.ศ. 1809–1811 กระทั่งเอลิซาเบธเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1811 ส่วนในปี ค.ศ. 1812 อเล็กซานเดอร์มีพระราชกระแสรับสั่งให้เขาเข้าเฝ้าและแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่ง
กองทัพตะวันตกที่สามที่ตั้งขึ้นใหม่
[1] รวมถึงผู้สำเร็จราชการแห่ง
มอลเดเวียและ
วัลลาเชีย อย่างไรก็ตาม
สนธิสัญญาบูคาเรสต์ ค.ศ. 1812 ได้ทำให้
สงครามรัสเซีย-ตุรกีสิ้นสุดเมื่อถึงเวลาที่เขาได้รับคำสั่งจากกองทัพ[
ต้องการอ้างอิง] ในช่วง
การศึก ค.ศ. 1812 เพื่อต่อต้าน
จักรพรรดินโปเลียน เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนปล่อยให้จักรพรรดินโปเลียนทรงหนีที่
แม่น้ำเบเรซีนาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1812 ส่วนในปี ค.ศ. 1813 เขาถูกไล่ออกและในปีต่อไปได้เดินทางไปยังประเทศฝรั่งเศสในช่วงออกจากงานโดยไม่กลับไปยังประเทศรัสเซียอีกเลย เขายังคงเป็นสมาชิกสภาแห่งรัฐจนกระทั่งปี ค.ศ. 1834 แต่ถูกถอดออกจากตำแหน่งหลังจากนั้น และถูกยึดทรัพย์สิน เขาเสียชีวิตในกรุงปารีสในปี ค.ศ. 1849 ซึ่งหลังจากเสียชีวิต บันทึกความทรงจำของเขาได้รับการตีพิมพ์
[1]